Raid คืออะไร?

RAID
เพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บข้อมูลและมีความปลอดภัยสำหรับ Server ของคุณ

Raid คืออะไร

Raid (Redundant Array of Inexpensive Disks) คือ อะไร?

เป็นเทคโนโลยีที่นำฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) ตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไป
มาเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เพื่อทำงานเสมือนเป็นฮาร์ดดิสก์ตัวเดียว

Server มักมีข้อมูลสำคัญจำนวนมาก การใช้ RAID จึงเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อป้องกันข้อมูลสูญหาย

กรณีฮาร์ดดิสก์เกิดความเสียหาย นอกจากนี้ RAID ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพ
ในการอ่าน/เขียนข้อมูล ช่วยให้ Server ทำงานได้รวดเร็วขึ้น เหมาะกับงานที่ต้องการความเร็วสูง เช่น เว็บเซิร์ฟเวอร์ (Web Server) ฐานข้อมูล (Database) ฯลฯ

 

Raid มีแบบไหนบ้างวันนี้ Mr.Spider IT จะบอกให้รู้ครับ

1.Hardware Raid เป็นอย่างไร?

Hardware Raid คือ การจัดการ Raid บนอุปกรณ์ ทั้งในรูปแบบ chip บนเมนบอร์ด
หรือรูปแบบ Card Raid ข้อดีคือ การทำงานจะไม่รบกวน CPU หลักและสามารถ
ใช้ Features Hot-swap ได้ (การเปลี่ยน HDD ตอนที่ server ทำงานอยู่)

อุปกรณ์ Raid ที่มี Cache จะทำให้ข้อมูลลดการมีคอขวดลงได้
และมีแบตเตอร์รี่ป้องกันเวลาไฟดับข้อมูลจะยังอยู่ใน Cache

และสามารถทำ Raid Level ได้หลายแบบ

2.Software Raid เป็นอย่างไร?

Software Raid คือ การจัดการ Raid บนโปรแกรมซึ่งรูปแบบนี้จะไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
แต่ตัว Software จะไปใช้ทรัพยากรร่วมกันกับ CPU ทำให้การประมวลผลข้อมูลต่างๆ
ลดช้าลงได้

รูปแบบ Software Raid นี้ไม่สามารถเปลี่ยน HDD ในระหว่างที่ server ทำงานได้
(ไม่สามารถ Hot-swapได้) ไม่มี Cache มาให้ และทางเลือกในการทำ Raid มีน้อยกว่า
แบบ Hardware Raid

 

Raid ที่นิยมใช้กัน

RAID มีหลายระดับ แต่ละระดับมีวิธีการจัดเก็บข้อมูลและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ระดับ RAID ที่นิยมใช้ใน Server มีดังนี้

รายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ RAID

  • RAID 0 (Stripping): เน้นความเร็วสูง แต่ไม่มีการสำรองข้อมูล
  • RAID 1 (Mirroring): เน้นการสำรองข้อมูล แต่ความจุลดลงครึ่งหนึ่ง
  • RAID 5 (Distributed Parity): เน้นสมดุลระหว่างความเร็วและการสำรองข้อมูล
  • RAID 6 (Double Parity): เน้นการสำรองข้อมูลสูง รองรับการเสียหายพร้อมกัน 2 ตัว
  • RAID 10 (Mirrored Striping): เน้นทั้งความเร็วและการสำรองข้อมูล

 

RAID 0 - Stripping

Raid 0

คือการรวมฮาร์ดดิสก์ตั้งแต่ 2 ลูกขึ้นไป ทำงานเสมือนฮาร์ดดิสก์ลูกเดียว
ทำให้ความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลเร็วขึ้นมาก และเพิ่มความจุรวมของ Harddisk อีกด้วย โดยการเขียนข้อมูล 1 ก้อนจะแบ่งไปใน HDD แต่ละลูก

แต่มีข้อเสียร้ายแรง ซึ่งก็คือไม่มีการ Backup ข้อมูลและถ้ามี HDD ลูกใดลูกหนึ่งเสียข้อมูลทั้งหมดจะสูญหายทันที

เพราะฉะนั้นควรสำรองข้อมูล Backup อยู่เสมอ และไม่ควรใช้ RAID 0 กับข้อมูลสำคัญ

 

RAID 1 - Mirroring

Raid 1

คือการ Copy Hard disk ให้เหมือนกันทุกไฟล์ทั้ง 2 ลูก แล้วทำงานเสมือนมีฮาร์ดดิสลูกเดียว ทำให้มีความปลอดภัยมากขึ้นในการเก็บข้อมูลแม้ Hard disk ลูกนึงจะเสียแต่ยังมีอีก 1 ลูกใช้งานได้อยู่

ข้อเสียคือความจุรวมจะหายไปครึ่งนึง และต้องมีฮาร์ดดิส 2 ลูกขึ้นไปถึงจะใช้งานได้เหมือนมีฮาร์ดดิส 1 ลูก

Raid 1 เหมาะกับงานที่มีความปลอดภัยสูง

 

RAID 5 - Distributed Parity

 

Raid 5

คือการเขียนข้อมูล กระจายไปทั่ว Harddisk ทุกๆลูก (ขั้นต่ำ 3 ลูกขึ้นไปต้องมี Parity 1 ลูก) และทำงานเสมือนมีฮาร์ดดิสลูกเดียว มีความปลอดภัยสูงแม้เสียไป 1 ลูกสามารถกู้กลับมาได้ อ่านเขียนข้อมูลได้เร็ว ใช้พื้นที่ฮาร์ดดิสน้อยกว่า Raid 1

แต่การตั้งค่าจะมีความซับซ้อนมากกว่า Raid 0 และ Raid 1 ถึงจะเขียนข้อมูลได้เร็วแต่ไม่เท่ากับ Raid 0

Raid 5 เหมาะกับงานที่ต้องใช้ความเร็ว ความจุ และความปลอดภัย แต่ไม่เหมาะกับงานที่เขียนข้อมูลบ่อยๆ

คำศัพท์
Parity : Harddisk ที่มีข้อมูล backup ทั้งหมดเช่น Aที่ใช้สำหรับกู้ข้อมูล กรณีฮาร์ดดิสก์เสีย

 

RAID 6 - Double Parity

 

Raid 6

 คือการกระจายข้อมูลและ Parity บนฮาร์ดดิสก์ 4 ลูกขึ้นไป ทำงานเสมือนฮาร์ดดิสก์ลูกเดียว มีความปลอดภัยสูง ถึงแม้ฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกจะเสีย ข้อมูลก็ยังอยู่ การอ่านเขียนข้อมูลรวดเร็ว ใช้พื้นที่น้อยกว่า Raid 1

แต่มีความซับซ้อนในการตั้งค่าและใช้งานมากขึ้นกว่า Raid 0 , 1 , 5  แม้การอ่านเขียนข้อมูลรวดเร็ว แต่ก็ยังไม่เท่า Raid 0 และต้องใช้ HDD จำนวน 4 ก้อนขึ้นไป

Raid 6 เหมาะกับงานที่ต้องการความปลอดภัยของข้อมูลสูงสุด

 

RAID 10 - Mirrored Striping

 

Raid 10

คือการรวม RAID 1 และ RAID 0 เข้าด้วยกัน ทำงานเสมือนฮาร์ดดิสก์ลูกเดียว ความเร็วในการอ่าน/เขียนข้อมูลจะเร็ว และถึงแม้ฮาร์ดดิสก์ 2 ลูกจะเสีย ข้อมูลก็ยังอยู่

ติดต่อ

LineOA : @spider-it
Tel : 02-946-4585-7
Email : spider_it@pandp.co.th